สอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่พำนักอยู่ในเมืองสิง
แขวงหลวงน้ำทา ปัจจุบัน ไม่มีใครทราบว่าวัดหัวโขสร้างขึ้นในปีใด แต่ทุกคนยืนยันว่าวัดแห่งนี้
เป็นวัดแห่งแรกของเมืองสิง ประมาณอายุน่าจะสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่า 200
ปี
วิหารวัดหัวโข ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงคือหลังคาจากเดิมที่เป็นแป้นเกร็ด
|
สอดคล้องกับประวัติของเมืองสิง
ซึ่งแม้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่
เคยมีชื่ออยู่ในยุคที่พระเจ้าบุเรงนองของพม่าสามารถแผ่อิทธิพลมาถึงที่นี้เมื่อเกือบ
500 ปีก่อน
แต่หลังจากเกิดการจราจลต่อต้านพม่า ช่วง พ.ศ.2107-2108 เมืองสิงก็กลายเป็นเมืองร้างไปพักใหญ่
จนประมาณ พ.ศ.2318 จึงมีการอพยพผู้คนมาสร้างเมืองสิงขึ้นอีกครั้ง
ด้วยความเป็นเมืองเล็กๆ
ทำให้เมืองสิงได้กลายเป็นเมืองหลายฝ่ายฟ้า แต่ละปี
เมืองสิงต้องส่งบรรณาการไปให้เมืองที่มีความเข็มแข็งกว่าหลายเมืองด้วยกัน
ตั้งแต่เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง เมืองเชียงใหม่ เมืองน่าน
รวมถึงเคยต้องส่งบรรณาการไปให้เมืองอังวะด้วย
จนระยะหลัง
เมืองสิงได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงแขง
เมืองของชาวลื้อที่กินอาณาบริเวณครอบคลุม 2 ฝั่งแม่น้ำโขง
กลองปูจาประจำวัดหัวโข |
เขตแดนเมืองเชียงแขงในฝั่งขวาของแม่น้ำโขงซึ่งเป็นรัฐฉานในปัจจุบัน
มีเมืองเชียงลาบ เมืองยู้ เมืองหลวย ส่วนฝั่งซ้ายที่เป็น สปป.ลาว ปัจจุบัน
มีเมืองเชียงกก เมืองลอง และเมืองสิง และครั้งหนึ่ง
เมืองสิงเคยเป็นเมืองหลวงของเมืองเชียงแขงด้วย
ช่วงการล่าอาณานิคม
เมืองสิงเป็นจุดที่ตัวแทนของอังกฤษและฝรั่งเศสมาพบกัน
และทำข้อตกลงแบ่งดินแดนในปกครองโดยยึดเอาแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่ง เมืองเชียงแขงจึงถูกแบ่งออกเป็น
2 ซีก
เมืองที่อยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงอยู่ในความดูแลของอังกฤษ
ส่วนฝั่งซ้ายอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส
เมืองสิงจึงตกเป็นเมืองในอาณานิคมของฝรั่งเศส
ปัจจุบัน
เมืองสิงเป็นเมืองหนึ่งของแขวงหลวงน้ำทา แม้เป็นเมืองเล็กๆ
แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง 12 กิโลโมตร
ห่างเมืองเชียงกกเมืองริมโขงตรงข้ามเมืองเชียงลาบ จังหวัดท่าขี้เหล็กของรัฐฉานในเมียนมาเพียง
70 กิโลเมตร
ทำให้เมืองสิงกลายเป็นเมืองชุมทางการค้าจากหลายประเทศ
ตลาดเมืองสิงปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าตลาดเมืองหลวงน้ำทาเสียด้วยซ้ำ
ที่เมืองเชียงกก
เพิ่งมีการเปิดใช้สะพานมิตรภาพลาว-เมียนมาแห่งแรกไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้
มีการคาดหมายว่าเส้นทางที่จากภาคตะวันออกของรัฐฉานมายังภาคเหนือของลาวผ่านสะพานแห่งนี้
จะเป็นถนนเศรษฐกิจสายสำคัญในอนาคต เพราะสามารถเชื่อมเมียนมา ลาว จีน
และเวียดนาเข้ามาหากันได้โดยสะดวก...
บรรยากาศบริเวณวัดที่แสดงถึงความเก่าแก่ของสถานที่ |
ชุมชนหัวโข
เป็นชุมชนชาวลื้อยุคแรกในช่วงที่มีการโยกย้ายมาสร้างเมืองสิงขึ้นใหม่เมื่อ 200
กว่าปีก่อน
มีการสร้างวัดหัวโขขึ้นเป็นวัดประจำชุมชน หลังคาของวิหารก่อนหน้านี้
มุงด้วยแป้นเกร็ด เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นสังกะสีได้ไม่กี่ปีมานี้
ในช่วงลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยาย
ต่อเนื่องจนกลายเป็นสงครามอินโดจีน สถานภาพของผู้คนในเมืองสิงไม่สู้ดีนัก
เพราะเหตุที่อยู่ติดกับชายแดนจีน
ผู้คนในเมืองสิงจึงมีการอพยพออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะชุมชนหัวโขแทบจะกลายเป็นชุมชนร้าง
จนเมื่อ 40
ปีที่แล้ว
เมื่อสถานการณ์สงบลง รัฐบาลลาวได้อพพยผู้คนจากต่างถิ่นมาอยู่ในเมืองสิงเพื่อหวังฟื้นฟูเมืองสิงขึ้นมาใหม่
ในชุมชนหัวโขเองขณะนั้นมีชาวลื้อเหลืออยู่เพียงไม่ถึง 10
ครอบครัว
มีการนำคนจากต่างแขวง โดยเฉพาะชาวลาวเทิงจากแขวงผ่งสาลี
ที่ประกอบด้วยคนชาติพันธุ์ไทแดง ชาวพูน้อย ตลอดจนชาวฮ่อ เข้ามาอาศัยอยู่แทน
ด้วยความที่คนซึ่งเข้ามาอยู่ใหม่ในชุมชนหัวโขไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
และแม้จะมีชาวลื้อที่เคยอพยพหนีไป ได้ย้ายกลับมาอยู่ในเมืองสิงอีกครั้ง
แต่ก็ไม่ได้กลับมาอยู่ในชุมชนหัวโข
ศูนย์กลางเมืองสิงได้ขยับห่างจากชุมชนหัวโขออกไปประมาณ 2-3
กิโลเมตร
วัดหัวโขจึงไม่ได้รับการดูแล ทะนุบำรุงอย่างเต็มที่ สภาพของวัดและวิหาร
จึงยังคงสภาพดั้งเดิมไว้เป็นส่วนมาก ยกเว้นหลังคา
ช่วงที่ได้มีโอกาสไปเยือนวัดหัวโขเมื่อ
2 ปีก่อน
มีเณรจำวัดอยู่ 2 รูป คอยดูแลรักษาสภาพวัดเอาไว้ไม่ให้ทรุดโทรม
มีการทำบุญตามประเพณีบ้างในวันพระ แต่มิได้เป็นงานใหญ่ เพราะในเมืองสิง ยังมีวัดอื่นๆอีกหลายวัด