วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วัดหัวโข : วัดแห่งแรกของเมืองสิง แขวงหลวงน้ำทา...ลาว

สอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่พำนักอยู่ในเมืองสิง แขวงหลวงน้ำทา ปัจจุบัน ไม่มีใครทราบว่าวัดหัวโขสร้างขึ้นในปีใด แต่ทุกคนยืนยันว่าวัดแห่งนี้ เป็นวัดแห่งแรกของเมืองสิง ประมาณอายุน่าจะสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ปี

วิหารวัดหัวโข ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงคือหลังคาจากเดิมที่เป็นแป้นเกร็ด

สอดคล้องกับประวัติของเมืองสิง ซึ่งแม้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ เคยมีชื่ออยู่ในยุคที่พระเจ้าบุเรงนองของพม่าสามารถแผ่อิทธิพลมาถึงที่นี้เมื่อเกือบ 500 ปีก่อน แต่หลังจากเกิดการจราจลต่อต้านพม่า ช่วง พ.ศ.2107-2108 เมืองสิงก็กลายเป็นเมืองร้างไปพักใหญ่ จนประมาณ พ.ศ.2318 จึงมีการอพยพผู้คนมาสร้างเมืองสิงขึ้นอีกครั้ง

ด้วยความเป็นเมืองเล็กๆ ทำให้เมืองสิงได้กลายเป็นเมืองหลายฝ่ายฟ้า แต่ละปี เมืองสิงต้องส่งบรรณาการไปให้เมืองที่มีความเข็มแข็งกว่าหลายเมืองด้วยกัน ตั้งแต่เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง เมืองเชียงใหม่ เมืองน่าน รวมถึงเคยต้องส่งบรรณาการไปให้เมืองอังวะด้วย

จนระยะหลัง เมืองสิงได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงแขง เมืองของชาวลื้อที่กินอาณาบริเวณครอบคลุม 2 ฝั่งแม่น้ำโขง

กลองปูจาประจำวัดหัวโข

เขตแดนเมืองเชียงแขงในฝั่งขวาของแม่น้ำโขงซึ่งเป็นรัฐฉานในปัจจุบัน มีเมืองเชียงลาบ เมืองยู้ เมืองหลวย ส่วนฝั่งซ้ายที่เป็น สปป.ลาว ปัจจุบัน มีเมืองเชียงกก เมืองลอง และเมืองสิง และครั้งหนึ่ง เมืองสิงเคยเป็นเมืองหลวงของเมืองเชียงแขงด้วย

ช่วงการล่าอาณานิคม เมืองสิงเป็นจุดที่ตัวแทนของอังกฤษและฝรั่งเศสมาพบกัน และทำข้อตกลงแบ่งดินแดนในปกครองโดยยึดเอาแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่ง เมืองเชียงแขงจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ซีก เมืองที่อยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงอยู่ในความดูแลของอังกฤษ ส่วนฝั่งซ้ายอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส เมืองสิงจึงตกเป็นเมืองในอาณานิคมของฝรั่งเศส


ปัจจุบัน เมืองสิงเป็นเมืองหนึ่งของแขวงหลวงน้ำทา แม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง 12 กิโลโมตร ห่างเมืองเชียงกกเมืองริมโขงตรงข้ามเมืองเชียงลาบ จังหวัดท่าขี้เหล็กของรัฐฉานในเมียนมาเพียง 70 กิโลเมตร ทำให้เมืองสิงกลายเป็นเมืองชุมทางการค้าจากหลายประเทศ

ตลาดเมืองสิงปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าตลาดเมืองหลวงน้ำทาเสียด้วยซ้ำ

ที่เมืองเชียงกก เพิ่งมีการเปิดใช้สะพานมิตรภาพลาว-เมียนมาแห่งแรกไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีการคาดหมายว่าเส้นทางที่จากภาคตะวันออกของรัฐฉานมายังภาคเหนือของลาวผ่านสะพานแห่งนี้ จะเป็นถนนเศรษฐกิจสายสำคัญในอนาคต เพราะสามารถเชื่อมเมียนมา ลาว จีน และเวียดนาเข้ามาหากันได้โดยสะดวก...

บรรยากาศบริเวณวัดที่แสดงถึงความเก่าแก่ของสถานที่

ชุมชนหัวโข เป็นชุมชนชาวลื้อยุคแรกในช่วงที่มีการโยกย้ายมาสร้างเมืองสิงขึ้นใหม่เมื่อ 200 กว่าปีก่อน มีการสร้างวัดหัวโขขึ้นเป็นวัดประจำชุมชน หลังคาของวิหารก่อนหน้านี้ มุงด้วยแป้นเกร็ด เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นสังกะสีได้ไม่กี่ปีมานี้

ในช่วงลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยาย ต่อเนื่องจนกลายเป็นสงครามอินโดจีน สถานภาพของผู้คนในเมืองสิงไม่สู้ดีนัก เพราะเหตุที่อยู่ติดกับชายแดนจีน ผู้คนในเมืองสิงจึงมีการอพยพออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชุมชนหัวโขแทบจะกลายเป็นชุมชนร้าง

จนเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เมื่อสถานการณ์สงบลง รัฐบาลลาวได้อพพยผู้คนจากต่างถิ่นมาอยู่ในเมืองสิงเพื่อหวังฟื้นฟูเมืองสิงขึ้นมาใหม่ ในชุมชนหัวโขเองขณะนั้นมีชาวลื้อเหลืออยู่เพียงไม่ถึง 10 ครอบครัว มีการนำคนจากต่างแขวง โดยเฉพาะชาวลาวเทิงจากแขวงผ่งสาลี ที่ประกอบด้วยคนชาติพันธุ์ไทแดง ชาวพูน้อย ตลอดจนชาวฮ่อ เข้ามาอาศัยอยู่แทน

ด้วยความที่คนซึ่งเข้ามาอยู่ใหม่ในชุมชนหัวโขไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และแม้จะมีชาวลื้อที่เคยอพยพหนีไป ได้ย้ายกลับมาอยู่ในเมืองสิงอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้กลับมาอยู่ในชุมชนหัวโข ศูนย์กลางเมืองสิงได้ขยับห่างจากชุมชนหัวโขออกไปประมาณ 2-3 กิโลเมตร วัดหัวโขจึงไม่ได้รับการดูแล ทะนุบำรุงอย่างเต็มที่ สภาพของวัดและวิหาร จึงยังคงสภาพดั้งเดิมไว้เป็นส่วนมาก ยกเว้นหลังคา


ช่วงที่ได้มีโอกาสไปเยือนวัดหัวโขเมื่อ 2 ปีก่อน มีเณรจำวัดอยู่ 2 รูป คอยดูแลรักษาสภาพวัดเอาไว้ไม่ให้ทรุดโทรม มีการทำบุญตามประเพณีบ้างในวันพระ แต่มิได้เป็นงานใหญ่ เพราะในเมืองสิง ยังมีวัดอื่นๆอีกหลายวัด

อย่างไรก็ตาม ภายในวิหารวัดหัวโขทุกวันนี้ ยังมีชาวพุทธเข้าไปทำบุญ กราบไหว้พระประธานของวัดอยู่เป็นระยะๆ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น